มอบเงินบริจาค

ประเมินสถานพยาบาล HA ขั้นที่ 1

ตรวจราชการ นพ.ธีรพล โตพันธานนท์

ตรวจราชการ นพ.ธีรพล โตพันธานนท์ (26 มีนาคม 2558)

กิจกรรม Big Cleanning Day

กิจกรรม Big Cleanning Day

โฆษกรัฐบาลยัน รัฐไม่ตัดสิทธิรักษาข้าราชการ หากให้บริษัทประกันดูแล

46a7f59b31e67b44550c24ab75f5c038_xl_2

พล.ต.สรรเสริญ ยืนยันรัฐไม่ตัดสิทธิรักษาข้าราชการ หากให้บริษัทประกันดูแล ย้ำอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ภายใต้ 2 เงื่อนไข วอนสังคมเปิดใจร่วมคิดเพื่อชาติ กำชับกระทรวงการคลัง ฟังความเห็นราชการด้วย

วันนี้ (25 ก.ย.59) พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงแนวคิดที่จะให้บริษัทประกันเข้ามาดูแลระบบค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการแทนรัฐ ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างให้สมาคมประกันวินาศภัยและสมาคมประกันชีวิตไปศึกษาความเป็นไปได้ระยะเวลา 1 เดือน ว่าสามารถทำได้หรือไม่ โดยยืนยันว่าทุกอย่างจะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ และคำนึงถึงประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ

?รัฐบาลให้คำมั่นกับพี่น้องข้าราชการว่า จะไม่ตัดสิทธิสวัสดิการเดิมที่มีอยู่ เพราะค่ารักษาพยาบาลเป็นสิทธิอันพึงมีพึงได้ของข้าราชการ แต่สิ่งสำคัญคือทำอย่างไรให้ทุกคนได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ และใช้เงินงบประมาณของแผ่นดินอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเรื่องนี้เป็นหนึ่งในหลายเรื่องสำคัญที่รัฐบาลต้องการวางรากฐานเพื่อการปฏิรูปอย่างยั่งยืนในอนาคต?

พล.ต.สรรเสริญ กล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อยากให้สังคมเปิดใจกว้าง ร่วมกันคิดพิจารณาถึงข้อดีข้อเสีย มากกว่าจะวิพากษ์วิจารณ์จนประเทศไม่สามารถขับเคลื่อนต่อไปข้างหน้าได้ โดยในหลายประเทศก็มีการใช้ระบบนี้เข้ามาดูแลสวัสดิการข้าราชการ ทำให้เกิดความโปร่งใส ป้องกันการใช้สิทธิซ้ำซ้อน การเวียนใช้สิทธิ หรือการเบิกยาเกินควร และช่วยบังคับให้รัฐต้องดูแลส่งเสริมสุขภาพของประชาชนทางอ้อมด้วย

?ปัจจุบันข้าราชการส่วนหนึ่งต้องสำรองจ่ายเงินค่ารักษา แล้วนำใบเสร็จไปเบิกต้นสังกัด และบางส่วนใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงกับโรงพยาบาลที่ลงทะเบียนไว้ ?โดยเข้ารักษาได้เฉพาะในโรงพยาบาลของรัฐเท่านั้น นอกจากนี้ ในแต่ละปีรัฐต้องใช้งบประมาณดูแลค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการ 60,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ?จึงได้กำหนดเงื่อนไขของการศึกษาความเป็นไปได้ว่า ข้าราชการจะต้องได้รับสิทธิสวัสดิการเหมือนเดิม และค่าประกันแต่ละปีต้องไม่มากกว่าที่รัฐบาลจ่ายอยู่ หากไม่ได้ทั้ง 2 เงื่อนไข รัฐบาลก็จะบริหารเองต่อไป

นายกฯ กำชับให้กระทรวงการคลัง ไปรับฟังความคิดเห็นของพี่น้องข้าราชการควบคู่กับการศึกษาความเป็นไปได้ของทั้ง 2 สมาคมด้วย ทั้งนี้ รัฐบาลอาจพิจารณาให้สิทธิประโยชน์บางส่วนเพื่อให้บริษัทประกันสามารถดำเนินการได้ และจะส่งเสริมระบบ e-payment ในภาคประกันภัย ตามนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ?

 

ที่มา 😕hfocus.org

สธ.ใช้ระบบนำทางอัจฉริยะ ‘Health Map’ ค้นหาสถานบริการสุขภาพให้ประชาชน

25-9-2559-13-17-54

“กระทรวงสาธารณสุขมีแผนงานในการนำเทคโนโลยีดิจิตอลมาใช้ในระบบการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อเพิ่มโอกาสการให้บริการทางการแพทย์และสุขภาพที่ทันสมัยแก่ประชาชน อย่างทั่วถึง และเท่าเทียม รองรับการเข้าสู่สังคมสูงวัย โดยได้มอบหมายให้ “ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร” พัฒนานวัตกรรม “Health Map” หรือ “ระบบค้นหาสถานบริการสุขภาพ” ซึ่งเป็นระบบนำทางอัจฉริยะจากเทคโนโลยีดิจิตอล ที่ช่วยเอื้อประโยชน์ให้กับประชาชนในการค้นหาสถานบริการสุขภาพได้อย่างสะดวก รวดเร็ว

ด้วยการเชื่อมต่อข้อมูลของสถานบริการสุขภาพเข้าสู่โลกดิจิตอล ประชาชนจึงทราบข้อมูลทั่วไปของสถานบริการได้อย่างรวดเร็วผ่านคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสาร ทั้งโทรศัพท์เคลื่อนที่และแท็บเล็ต ด้วยระบบค้นหาสถานบริการสุขภาพที่เชื่อมโยงกับระบบสายด่วนต่างๆ ของกระทรวงสาธารณสุข เน้นให้ง่ายต่อการใช้งาน สามารถใช้งานได้ทั้งในกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน และกรณีเจ็บป่วยทั่วไป เป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์การเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชนได้อย่างแท้จริง” นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย โฆษกและรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะผู้กำกับดูแลงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของกระทรวงสาธารณสุข กล่าว

น.พ.สุวรรณชัย กล่าวอีกว่า ขณะนี้ “Health Map” หรือ “ระบบค้นหาสถานบริการสุขภาพ” สามารถเข้าใช้บริการได้ในรูปแบบของเว็บไซต์ http://gishealth.moph.go.th/ และแอพพลิเคชั่นบนมือถือระบบ Android และ iOS โดยเร็วๆ นี้จะมีการพัฒนารูปแบบของระบบให้มีความครอบคลุมทุกหน่วยบริการด้านสาธารณสุขเพิ่มมากขึ้น

ด้าน ผศ.(พิเศษ) นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวว่า “Health Map” หรือ “ระบบค้นหาสถานบริการสุขภาพ” จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการค้นหาสถานบริการสุขภาพ ด้วยการแสดงข้อมูลครอบคลุม 5 กรณี ได้แก่

1.กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน ระบบจะแสดงที่ตั้งของโรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชนที่มีแผนกฉุกเฉินบนแผนที่ โดยสามารถเลือกดูข้อมูลจากที่ตั้งโรงพยาบาลพร้อมระยะทางแสดงเส้นทางและระบบนำทางไปยังโรงพยาบาลที่เลือกไว้ และยังมีข้อมูลทั่วไป เว็บไซต์ หมายเลขโทรศัพท์ของโรงพยาบาลที่สามารถโทร.ออกได้ทันที รวมทั้งแสดงรายชื่อโรงพยาบาลแต่ละแห่งเรียงตามระยะห่างจากที่ตั้งปัจจุบัน บนแผนที่จะมีข้อมูลแสดงที่ตั้งของหน่วยกู้ชีพ หรือจะค้นหาโรงพยาบาลหรือหน่วยกู้ชีพจากชื่อโดยตรงก็ได้

2.กรณีเจ็บป่วยทั่วไป จะแสดงที่ตั้งของโรงพยาบาลหรือศูนย์บริการสาธารณสุขในขอบเขตที่กำหนด มีข้อมูลทั่วไปของสถานพยาบาลที่เลือกพร้อมเส้นทางและระบบนำทาง โดยสามารถเลือกโรงพยาบาลได้ตามต้องการ

3.แสดงสถานพยาบาลเชี่ยวชาญเฉพาะโรค โดยเลือกศูนย์เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ได้ตามที่ต้องการ สามารถค้นหาการบริการเฉพาะทางของโรงพยาบาลที่อยู่ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขได้ อาทิ การผ่าตัดหัวใจ การฉายรังสีรักษามะเร็ง เป็นต้น หรือเลือกค้นหาโรงพยาบาลที่มีแพทย์เฉพาะทางในสาขาต่างๆ ระบบจะแสดงรายชื่อโรงพยาบาลเรียงตามระยะทาง ข้อมูลทั่วไปพร้อมทั้งเส้นทางและระบบนำทาง

4.กรณีค้นหาบริการพิเศษ ได้แก่ คลินิกนิรนาม และสถานที่ให้บริการฉีดวัคซีนไปต่างประเทศ สามารถเลือกประเภทบริการพิเศษได้ตามต้องการ ซึ่งจะมีการแสดงรายชื่อหน่วยบริการพร้อมข้อมูลทั่วไป เส้นทางและระบบนำทาง

และ 5.การค้นหาร้านขายยา ระบบจะแสดงที่ตั้งของร้านขายยาทั้ง 4 ประเภท ได้แก่ ร้านขายยาแผนปัจจุบัน ร้านขายยาบรรจุเสร็จ ร้านขายยาสำหรับสัตว์ และร้านขายยาแผนโบราณ สามารถเลือกร้านขายยาที่ต้องการเพื่อให้ระบบแสดงรายชื่อร้านขายยาเรียงตามระยะทาง ข้อมูลทั่วไป พร้อมเส้นทางและระบบนำทางเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ยังสามารถแสดงแผนที่ในรูปแบบภาพถ่ายดาวเทียม และใช้ street view แสดงภาพถ่ายของสถานที่จริงได้ด้วย

ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง วันที่ 24 กันยายน 2559

ที่มา 😕hfocus.org

คลังรื้อค่ารักษาพยาบาล ขรก. ซื้อประกันภัยกลุ่ม 10 ล้านคน

002-20151015122505

นสพ.ประชาชาติธุรกิจ : คลังหาโมเดลแก้ปัญหาข้าราชการเบิกค่ารักษาพยาบาลเกินงบฯ ปี’59 เฉียด 7 หมื่นล้าน ดึงบริษัทประกัน ดูแลข้าราชการ-ครอบครัว 10 ล้านคน ให้ สมาคมประกันศึกษาแผน คาดรู้ผล ต.ค.นี้ ธุรกิจประกันรับส้มหล่น เบี้ยโต 10% พร้อมจัดแพ็กเกจ “ประกันภัยรับใช้ชาติ” สนองนโยบายรัฐ

ประกันกลุ่ม ขรก. 10 ล้านคน

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า รัฐบาลกำลังหารือกับบริษัทประกันภัยเพื่อให้นำระบบประกันเข้ามาบริหารจัดการค่ารักษาพยาบาลแทนการใช้สวัสดิการภาครัฐแก่ข้าราชการและครอบครัวที่มีสิทธิในระบบ 10 ล้านคน เนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลใช้งบประมาณในการรักษาพยาบาลให้กับข้าราชการสูงถึงปีละ 6 หมื่นล้านบาท และ บางปีมีการเบิกจ่ายเกินงบประมาณที่ตั้งไว้ เพราะหากให้เอกชนดำเนินการน่าจะประหยัดงบประมาณได้ เนื่องจากบริษัทเอกชนบริหารจัดการได้ดีกว่า

โดยภาครัฐจะใช้งบประมาณไปจ่ายเป็นค่าเบี้ยประกัน โดยที่ข้าราชการก็ไปเบิกค่ารักษาพยาบาลจากบริษัทประกันแทนการเบิกกับรัฐ ซึ่งเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพมากกว่า โดยระหว่างนี้ยังต้องหารือในรายละเอียดว่าจะคุ้มครองในลักษณะใดได้บ้าง ?และคาดว่าแต่ละปีจะทำให้เบี้ยประกันโตไม่ต่ำกว่า 10%

ต.ค.เคาะเบี้ยเบื้องต้น

นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ช่วงเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา หน่วยงานภาครัฐได้เรียกสมาคมประกันวินาศภัยไทย และสมาคมประกันชีวิตไทย เข้าไปสอบถามเกี่ยวกับ การทำประกันภัยให้กลุ่มข้าราชการ และขณะนี้ทั้ง 2 สมาคมอยู่ระหว่างรอข้อมูลจากกรมบัญชีกลางเพื่อนำมาใช้คำนวณอัตราเบี้ยประกัน ซึ่งคาดว่าเดือน ต.ค.นี้ จะได้ข้อสรุปในเบื้องต้น เพื่อนำกลับไปคุยกับภาครัฐอีกครั้ง

“ภาครัฐให้โจทย์คร่าว ๆ ว่าต้องการความคุ้มครองแบบเป็นประกันสุขภาพ ในด้านค่ารักษาพยาบาล เหมือนสวัสดิการที่รัฐจ่ายให้ข้าราชการอยู่ในปัจจุบัน ขณะนี้ อยู่ระหว่างที่ธุรกิจประกันชีวิตและประกันวินาศภัยต้องมาประเมินและพูดคุยกันกับบริษัทรับประกันภัยต่อและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปีนี้น่าจะยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน การทำประกันสุขภาพให้ข้าราชการน่าจะใช้เวลาอีกอย่างน้อย 1 ปีในการตกลงกันทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ เพราะมีหลายเรื่องที่ต้องเปลี่ยนแปลง” นายอานนท์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธุรกิจประกันภัยไทยในปี 2558 มีเบี้ยประกันภัยรับรวมทั้งสิ้น 742,408 ล้านบาท แบ่งเป็น เบี้ยจากธุรกิจประกันชีวิต 533,211 ล้านบาท และเบี้ยจากประกันวินาศภัย 209,197 ล้านบาท

ชูแพ็กเกจประกันรับใช้ชาติ

นายอานนท์ กล่าวว่า นอกจากนี้สมาคมก็อยู่ระหว่างทำงานร่วมกับภาครัฐ 3-4 โครงการ โดยอาจเรียกรวมกันว่า “ประกันภัยรับใช้ชาติ” นอกจากโครงการประกันกลุ่มข้าราชการ ก็มีโครงการประกันภัยอุบัติเหตุให้กับผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐไว้กว่า 8 ล้านคน โดยจะคิดค่าเบี้ยประกันภัย 99 บาทต่อคนต่อปี (ไม่รวมภาษีอากรแสตมป์) โดยรัฐบาลเป็นผู้จ่ายค่าเบี้ยประกันภัยให้คนกลุ่มนี้

สำหรับความคุ้มครอง

1)กรณีเสียชีวิต การสูญเสียมือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงเนื่องจากอุบัติเหตุ ไม่รวมกรณีถูกฆาตกรรม อุบัติเหตุการ ขี่มอเตอร์ไซค์ วงเงินคุ้มครอง 100,000 บาทต่อคน

2) กรณีเสียชีวิต การสูญเสีย มือ เท้า การสูญเสียสายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง จากการถูกฆาตกรรมลอบทำร้ายร่างกาย และ/หรืออุบัติเหตุขณะขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ วงเงินคุ้มครอง 50,000 บาทต่อคน

และ 3)ชดเชยรายได้ระหว่างการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล จากอุบัติเหตุ 300 บาท/วัน สูงสุด 20 วัน

สำหรับประกันภัยผู้มีรายได้น้อยนี้ อยู่ระหว่างรอกระทรวงการคลังเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบ ซึ่งหากได้รับอนุมัติให้ดำเนินการ จะทำให้ธุรกิจประกันวินาศภัยไทยมีเบี้ยประกันภัยเพิ่มขึ้นจำนวน 800 ล้านบาท

ส่วนอีกโครงการ คือ “ประกันภัยนักท่องเที่ยวต่างชาติ” เป็นการคุ้มครองทั้งกรณีการก่อการร้าย และอื่น ๆ โดยทางสมาคมประกันวินาศภัยไทยได้เสนอแบบกรมธรรม์ คิดเบี้ยประกันภัยประมาณ 180 ล้านบาท คุ้มครองนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในไทยประมาณ 29-30 ล้านคน อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ยังรอความชัดเจนจากภาครัฐ

รวมถึงในส่วนโครงการ “ประกันภัยข้าวนาปี” โดยในปีการผลิต 2559/2560 ได้เริ่มดำเนินการไปแล้ว โดยมีเกษตรกรทำประกันภัยมากกว่า 26 ล้านไร่ คิดเป็นจำนวนเกษตรกรที่เข้ารวมกว่า 1.5 ล้านราย ซึ่งจะทำให้ได้เบี้ยประกันภัยเข้ามาในช่วง ต.ค.-พ.ย.นี้กว่า 2,600 ล้านบาท

นอกจากนี้ ทางสมาคมยังได้ศึกษาข้อมูลการทำประกันภัยพืชไร่อื่น ๆ โดยเฉพาะประกันภัยไม้ยืนต้น ที่ถือว่าน่าสนใจ เช่น ทุเรียน ลำไย ยางพารา เป็นต้น เพราะในต่างประเทศก็มีการทำประกันพืชผลกลุ่มนี้มาก

สั่งกรมบัญชีกลางคุมเบิกค่ารักษา

นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แนวคิดเรื่อง การทำประกันสุขภาพให้ข้าราชการ ยังต้องหารือรายละเอียดกันอีกมาก แต่ต้อง ยอมรับว่า ปัจจุบันยอดรายจ่ายงบประมาณในการจ่ายสวัสดิการรักษาพยาบาล ให้ข้าราชการและครอบครัว เกินกว่า งบประมาณที่ตั้งไว้ที่ 60,000 ล้านบาทแทบทุกปี

“มีแนวคิดว่า ถ้าแต่ละปีเราตั้งงบประมาณไว้ที่ยอดไม่เกิน 60,000 ล้านบาทนี้ แล้วก็ให้ความคุ้มครองที่ไม่น้อยกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว หรือโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ซึ่งรายละเอียดมาก ผู้ที่จะรับทำประกันก็ต้องดู ทั้งปริมาณคน และความคุ้มครองว่าจะครอบคลุมขนาดไหน คงต้องให้เวลาศึกษาพอสมควร เราก็ให้กรมบัญชีกลางไปหารือกับบริษัทประกัน” นายวิสุทธิ์ กล่าว

ทั้งนี้ รมช.คลัง กล่าวว่า การศึกษาก็ต้องครอบคลุมทั้งข้าราชการและครอบครัว และต้องรวมถึงข้าราชการที่จะเข้ามาใหม่ในอนาคตด้วย ซึ่งยอมรับว่าลำพังจะทำให้แต่ผู้ที่เข้ามาใหม่ วอลุ่มก็จะน้อย ทำให้เบี้ยประกันอาจจะแพง ขณะเดียวกัน ก็ต้องคำนึงถึงสิทธิประโยชน์ของข้าราชการที่เคยได้อยู่เดิมด้วย

ปี’59 เบิกรักษาเฉียด 7 หมื่นล้าน

นายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า กรมบัญชีกลางได้รับนโยบายให้ศึกษาการทำประกันสุขภาพให้แก่ข้าราชการ เพื่อให้สามารถควบคุมรายจ่ายค่ารักษาพยาบาลไม่ให้เพิ่มมากเกินไป ตอนนี้กำลังศึกษาเปรียบเทียบกันอยู่ว่าจะใช้วิธีแบบไหน จะให้รัฐซื้อเบี้ยประกันให้ หรือตั้งกองทุนขึ้นมา ก็ต้องศึกษาไว้ เพราะค่ารักษาพยาบาลก็เกินทุกปี อย่างปีงบประมาณ 2558 ก็ใช้ไป 66,000 ล้านบาท ปีงบประมาณนี้ก็อาจไปใกล้ ๆ 70,000 ล้านบาท เพราะจนถึงขณะนี้ก็เกิน 60,000 ล้านบาท ไปแล้ว ซึ่งส่วนที่เกินก็ต้องใช้เงินคงคลังมาจ่าย แล้วค่อยขอตั้งงบประมาณใช้คืนในปีต่อ ๆ ไป

สำหรับปีงบประมาณ 2560 จะเริ่มตั้งแต่ 1 ต.ค.นี้ อธิบดีกรมบัญชีกลางกล่าวว่า มีการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายค่ารักษาพยาบาลไว้จำนวน 60,000 ล้านบาท จากที่ เสนอขอไปที่ 67,000 ล้านบาท

ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 26 – 28 ก.ย. 2559

แอพฯ เรียกรถพยาบาลช่วยผู้ป่วยโรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง ถึงหมอเร็ว รักษาทัน

p132000511

กรมการแพทย์จับมือมหาวิทยาลัยขอนแก่น และสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เปิดตัว Application Fast Track ทางด่วนชีวิต เรียกรถพยาบาลช่วยผู้ป่วยโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง ให้ถึงหมอเร็ว รักษาได้ทัน

วันที่ 23 กันยายน 2559) ที่กรมการแพทย์ นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของประชากรไทย จากสถิติสาธารณสุข สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข ปี 2557 ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด 58,681 คน หรือเฉลี่ยชั่วโมงละ 7 คน คิดเป็นอัตราตายของโรคหัวใจและหลอดเลือด เท่ากับ 90.34 ต่อแสนประชากร จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจขาดเลือด 18,079 คน เฉลี่ยชั่วโมงละ 2 คน คิดเป็นอัตราตายของโรคหัวใจขาดเลือด เท่ากัน 27.83 ต่อแสนประชากร

โรคหัวใจขาดเลือดหรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันชนิด STEMI (ST elevate myocardium infarction) เกิดจากการอุดตันเฉียบพลันของหลอดเลือดแดงที่หัวใจ แม้ว่าภาวะที่เกิดหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันจะร้ายแรง? แต่การรู้ ระวัง เข้าใจ และสามารถตอบสนองอย่างฉับไว สามารถช่วยลดโอกาสในการเสียชีวิตลงได้มาก แนวทางการปฏิบัติในการรักษาโรคนี้ ของ American College of Cardiology (ACC) และ American Heart Association (AHA) แนะนำให้ยาละลายลิ่มเลือดภายใน 30 นาที และให้การรักษาด้วยบอลลูนขยายหลอดเลือด ภายใน 90 นาที ถ้าเริ่มการรักษาช้า จะเพิ่มอัตราตายมากขึ้น

อาการสำคัญของโรคนี้คือ อาการแน่นหน้าอกส่วนมากจะเป็นตรงกลาง เป็นนานเกินกว่าหนึ่งนาทีขึ้นไป และมีอาการปวดร้าวขึ้นไปที่กราม หรือที่ไหล่ร่วมด้วย โดยเฉพาะไหล่ซ้าย บางรายจะมีอาการเหนื่อย มีเหงื่อแตกร่วมด้วยต้องสงสัยไว้ว่า อาจเกิดหลอดเลือดหัวใจอุดตันแล้ว ดังนั้น เมื่อมีอาการที่น่าสงสัย สิ่งที่ควรทำอันดับแรก คือ รีบไปพบแพทย์ทันทีโดยไม่รอช้า ในทางการแพทย์มีการพิสูจน์แล้วว่าเมื่อผู้ป่วยมีอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด การไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุดเพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง จะช่วยชีวิตได้จริง

สำหรับโรคหลอดเลือดสมอง หรือ Stroke เป็นโรคทางระบบประสาทที่พบบ่อยและเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย ?พบผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 2 แสนรายต่อปี ความชุกร้อยละ 1.88 ในประชากรอายุ 45 ? 80 ปี เป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ทั้งผู้ชายและผู้หญิง จากสถิติสาธารณสุข สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข? ปี 2557 อัตราการตายต่อประชากรแสนคน สูงถึง 38.7 มากกว่าโรคหลอดเลือดหัวใจ

สัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดสมอง คือ อ่อนแรงแขนขาครึ่งซีก หน้าเบี้ยวครึ่งซีก เหน็บชาตามร่างกายครึ่งซีก พูดไม่ได้ พูดไม่ชัด กลืนลำบาก สำลัก เห็นภาพซ้อน ภาพมัวหรือมืดลงครึ่งซีก สับสน ซึมลง ไม่รู้สึกตัว เวียนและปวดศีรษะรุนแรง ปวดต้นคอ คลื่นไส้อาเจียน เดินเซ ควรรีบนำผู้ป่วยไปพบแพทย์ทันที เพราะไม่เช่นนั้นผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้ ทั้งนี้ การรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันด้วยการฉีดยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำ (Stroke Fast Track) เป็นการรักษาที่ได้มาตรฐานและได้รับการยอมรับ การรักษาด้วยวิธีนี้ไม่ยุ่งยากได้ผลค่อนข้างดี แต่มีข้อจำกัดด้านเวลา โดยต้องวินิจฉัยและเริ่มให้ยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำ ภายใน 4.5 ชั่วโมง หลังผู้ป่วยมีอาการ ดังนั้น ควรนำผู้ป่วยมาพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพื่อลดอัตราการตายและความพิการ

จากปัญหาดังกล่าวกรมการแพทย์จึงร่วมมือกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น และสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ จัดทำและพัฒนา Application Fast Track ทางด่วนชีวิต เรียกรถพยาบาล ช่วยชีวิตผู้ป่วยโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางการให้บริการประชาชนบนโทรศัพท์มือถือ Smart Phone ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว สามารถประเมินตนเอง และเข้าถึงบริการในสถานบริการสุขภาพทั้งภาครัฐและเอกชนได้อย่างทันท่วงทีในช่วงระยะวิกฤต โดยกรมการแพทย์เป็นผู้สนับสนุนเรื่องข้อมูลทางการแพทย์เกี่ยวกับโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง

สำหรับมหาวิทยาลัยขอนแก่นเป็นผู้จัดทำและพัฒนา Application Fast Track ให้ใช้งานและเข้าถึงได้ง่าย และสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เป็นผู้สนับสนุนการเชื่อมโยงข้อมูล ระหว่าง Application EMS 1669 กับ Application Fast Track ซึ่งมีระบบการเรียกรถพยาบาลแทนการใช้โทรศัพท์ 1669 ฉะนั้น ความสำคัญกับชีวิตของผู้ป่วย ทั้งโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน และโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน หากประชาชนรู้เท่าทันโรคและสามารถเข้าถึงบริการได้รับการรักษาในช่วงเวลาที่กำหนด (Golden Period) จะลดการตายและพิการได้

รศ.นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่า คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เห็นความสำคัญของการช่วยชีวิตผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง ที่ มีความจำเป็นต้องได้รับการรักษาที่เหมาะสมและรวดเร็วที่สุด จึงได้มีการพัฒนา Application STROKE KKU และต่อมามีการพัฒนาเป็นแอพพลิเคชั่น FAST TRACK เพื่อการเข้าถึงระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว แอพพลิเคชั่น ?FAST TRACK? หรือ แอพพลิเคชั่น ?เรียกรถพยาบาล? มีระบบการเรียกรถพยาบาลแทนการใช้โทรศัพท์ 1669 ข้อดีคือมีข้อมูลตำแหน่งของผู้เรียกรถ ข้อมูลการเจ็บป่วยและหมายเลขโทรศัพท์ของญาติ
ผู้ใกล้ชิด เวลาที่เรียกรถพยาบาล รวมทั้งมีการให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจ อุบัติเหตุและฉุกเฉิน ผ่านทางบทความ หนังสือ วีดิทัศน์ และภาพความรู้ (infographic) รวมทั้งแบบคัดกรองประเมินความเสี่ยงโรคต่างๆ

Application ประกอบด้วยส่วนสำคัญหลัก คือ

1.การเรียกรถพยาบาล จากระบบการแพทย์ฉุกเฉินของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินทั่วประเทศไทย แทนการโทรศัพท์ 1669

2.การให้ความรู้เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ ภาวะอุบัติเหตุและฉุกเฉินอื่นๆ

3.โรงพยาบาลที่มีความสามารถให้การรักษาด้วยการให้ยาละลายลิ่มเลือดรักษาโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดเฉียบพลัน โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน โดยมีแผนที่บอกเส้นทางการเดินทางจากสถานที่อยู่ไปยังโรงพยาบาลที่ระบุ หรือโรงพยาบาลใกล้ที่สุด

ทั้งนี้ สามารถดาวน์โหลดแอพพิเคชั่น FAST TRACK ทางด่วนชีวิต เรียกรถพยาบาล โดยการใช้คำ FAST TRACK หรือ เรียกรถพยาบาล ทั้งในระบบ android และ iOS โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

นพ.ไพโรจน์ บุญศิริคำชัย รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ? เปิดเผยว่า โรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจ เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยฉุกเฉินที่พบบ่อยที่สุดและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตและพิการลำดับต้นๆ ของประเทศไทยโดยสถิติการรับส่งผู้ป่วยฉุกเฉินผ่านสายด่วน 1669 ในเดือนมกราคมพ.ศ. 2558 ถึง เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2559 ที่ผ่านมามีการนำส่งผู้ป่วยฉุกเฉินด้วยภาวะ เจ็บแน่นทรวงอก เจ็บแน่นหัวใจ ซึ่งเป็นหนึ่งในอาการของโรคเลือดหัวใจจำนวนมากถึง 53,114? คน? และนำส่งผู้ป่วยฉุกเฉินด้วยอาการภาวะอัมพาต กล้ามเนื้ออ่อนแรงสูญเสียการรับรู้ยืนหรือเดินไม่ได้เฉียบพลันซึ่งเป็นหนึ่งในอาการของโรคหลอดเลือดสมองมากถึง 17,418 คน? โดยผู้ป่วยทั้งสองอาการนี้จะต้องได้รับการรักษาที่เหมาะสมและรวดเร็ว ซึ่งสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติได้จัดวางระบบการแพทย์ฉุกเฉินที่มีความพร้อมทั้งรถพยาบาลและทีมแพทย์ฉุกเฉินในการเข้าให้ความช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง

การพัฒนาแอพพลิเคชั่นเรียกรถพยาบาล?Fast track ที่มีความเชื่อมโยงกับแอพพลิเคชั่น EMS 1669 ในครั้งนี้นั้นจึงเป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้ปฏิบัติงานในระบบการแพทย์ฉุกเฉินและเป็นประโยชน์ทั้งต่อประชาชนที่เจ็บป่วยฉุกเฉินด้วยภาวะโรคหลอดเลือดสมอง โรคหลอดเลือดหัวใจ ให้ได้เข้าถึงระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็วนั่นเอง

ที่มา 😕hfocus.org

มติ คกก.ยาจำกัดข้อบ่งใช้คีโตโคนาโซลชนิดเม็ด พร้อมปรับปรุงคำเตือนใช้ยาพาราฯ

aec000019211_1

อย.แจงความคืบหน้ามาตรการจัดการความเสี่ยงของยาพาราเซตามอล ล่าสุดคณะกรรมการยาเห็นชอบให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การอนุญาตโฆษณายาพาราเซตามอล และแก้ไขข้อความคำเตือนบนฉลากและเอกสารกำกับยา เตือนผู้บริโภค หากจำเป็นต้องใช้ยาพาราเซตามอล ขอให้อ่านคำเตือนการใช้ยาในฉลากและที่เอกสารกำกับยา ส่วนยาคีโตโคนาโซลชนิดรับประทาน คณะกรรมการยา ได้มีมติจำกัดข้อบ่งใช้ โดยให้ตัดข้อบ่งใช้สำหรับการติดเชื้อราแบบเฉพาะที่

นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า จากข่าวศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) แถลงเตือนภัยยาที่มีพิษต่อตับ สาเหตุเกิดจากยาหลายชนิด โดยเฉพาะคีโตโคนาโซล และพาราเซตามอล ซึ่งทาง อย.แจ้งว่าจะมีการทบทวนตั้งแต่ปี 2557 แต่ยังไม่เสร็จ นั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ขอชี้แจงว่า อย.มิได้นิ่งนอนใจในการทบทวนยาดังกล่าว โดยที่ผ่านมามีคณะทำงานเฝ้าระวังพิจารณาตำรับยาต่าง ๆ อยู่แล้ว ซึ่งหากยากลุ่มไหนเสี่ยงหรือมีผลกระทบก็จะมีการเข้าสู่การพิจารณาของคณะอนุกรรมการทบทวนตำรับยาทันที

ล่าสุด มติจากการประชุมคณะกรรมการยา โดยคณะอนุกรรมการพัฒนาฉลากและเอกสารกำกับยาได้ทบทวนข้อมูลวิชาการ และเห็นชอบมาตรการจัดการความเสี่ยง คือการปรับปรุงข้อกำหนดการแสดงฉลาก เอกสารกำกับยาและคำเตือนของยาพาราเซตามอล โดยให้แก้ไขข้อความคำเตือนบนฉลากและเอกสารกำกับยาของตำรับยาที่มีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบ ทั้งยาเดี่ยวและสูตรผสม คือ

ห้ามใช้ยาพาราเซตามอลเกินขนาดที่แนะนำในฉลากหรือเอกสารกำกับยา เพราะจะทำให้เป็นพิษต่อตับได้ และไม่ควรใช้ยานี้ติดต่อกันเกิน 5 วัน

หลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ร่วมกับยาอื่นที่มีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบ เพราะอาจทำให้ได้รับยาเกินขนาด

หากดื่มสุราเป็นประจำ เป็นโรคตับหรือโรคไต ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยานี้

และหากกินยาแล้วเกิดอาการ บวมที่ใบหน้า เปลือกตา ริมฝีปาก ลมพิษ หน้ามืด ผื่นแดง ตุ่มพอง ผิวหนังหลุดลอก ให้หยุดยาและรีบปรึกษาแพทย์ทันที

ทั้งนี้ ระยะเวลาในการแก้ไขฉลากและเอกสารกำกับยา จะมีผลบังคับใช้ภายใน 365 วันนับแต่วันถัดจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อพ้นกำหนดแล้ว หากผู้รับอนุญาตไม่ปฏิบัติตาม จะถูกเพิกถอนทะเบียนตำรับยาต่อไป

ส่วนยาคีโตโคนาโซลชนิดรับประทาน คณะกรรมการยา ได้มีมติจำกัดข้อบ่งใช้ โดยให้ตัดข้อบ่งใช้สำหรับการติดเชื้อราแบบเฉพาะที่ และให้เพิ่มข้อความ ?ใช้เฉพาะในกรณีที่รักษาด้วยยาต้านเชื้อราอื่นไม่ได้ผล หรือไม่สามารถทนต่อยาต้านเชื้อราตัวอื่น? ต่อท้ายข้อบ่งใช้แบบภายในร่างกายที่ได้รับอนุญาตไว้แล้ว

เลขาธิการฯ อย. กล่าวต่อไปว่า อย. เห็นถึงปัญหาการใช้ยาพาราเซตามอลเกินความจำเป็นในประเทศไทยมาโดยตลอด ที่ผ่านมาได้มอบหมายให้คณะทำงานดำเนินการศึกษาและทบทวนข้อมูลทางวิชาการของยาพาราเซตามอลเกี่ยวกับขนาดยา วิธีใช้ ทั้งสูตรตำรับยาเดี่ยวและสูตรตำรับยาผสมแล้ว เพื่อพิจารณาปรับขนาดยาให้เหมาะสมกับคนไทยและลดปัญหาอันตรายจากการใช้ยา

อย่างไรก็ตาม ขอให้ผู้บริโภคใช้ยาอย่างระมัดระวัง ควรอ่านฉลากและเอกสารอย่างถ้วนถี่ และปฏิบัติตามวิธีใช้ที่ระบุบนฉลากยาอย่างเคร่งครัด ไม่ควรกินยาเกินกว่าปริมาณที่ระบุได้ โดยเฉพาะยาพาราเซตามอลไม่ควรกินเกินวันละ 8 เม็ด (เม็ดละ 500 มิลลิกรัม) และหากมีความผิดปกติหรือมีอาการข้างเคียงจากการใช้ยา อาทิ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร บวมบริเวณท้อง กดเจ็บบริเวณตับ ขอให้พบแพทย์โดยด่วน

ขอให้ผู้บริโภคมั่นใจการดำเนินงานของ อย.ในการคุ้มครองให้ผู้บริโภคได้รับความปลอดภัยจากการใช้ยา และหากกลุ่มยาตำรับใดมีอันตราย อย.จะแจ้งให้ผู้บริโภคทราบทางสื่อต่าง ๆ ทันที

 

ที่มา 😕hfocus.org

หมอล่ารายชื่อ ค้านข้อเสนอแก้กฎหมาย เพิ่มคนนอกเป็น กก.แพทยสภา

ulckvmyqztqzoqh-800x450-nopad

แพทย์ชวน สมาชิกสภาวิชาชีพ บุคลากรสาธารณสุข ประชาชนทั่วไป ลงชื่อเกิน 10,000 คน ทางเว็บไซต์ change ค้านข้อเสนอแก้กฎหมายวิชาชีพเวชกรรมให้คนนอกเข้าไปเป็นกรรมการแพทยสภา ชี้เป็นการแทรกแซงวิชาชีพ

นพ.กิตติศักดิ์ อธิษฐ์เดชาภูมิ ได้เริ่มรณรงค์ใน www.change.org (ดู ที่นี่) เรื่อง คัดค้าน คนนอกบริหารแพทยสภา 2560 ซึ่งเป็นการรณรงค์คัดค้านการรณรงค์ก่อนหน้านี้ของนางปรียนันท์ ล้อเสริมวัฒนา ที่เรียกร้องให้ประชาชนร่วมลงนามปฏิรูปแพทยสภาใน 3 ประเด็น คือ 1.ให้มีคนนอกเข้าไปเป็นกรรมการแพทยสภา ในสัดส่วน?50% 2.ลดจำนวนคณะกรรมการลงเพื่อความคล่องตัว 3.กำหนดให้กรรมการดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน?2?วาระ สำหรับการรณรงค์นี้ ปัจจุบันมีผู้ร่วมลงชื่อแล้ว 6,097 คน โดยจะมีการยื่นรายชื่อผู้สนับสนุนเพื่อนำเสนอต่อประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ข้อความรณรงค์ทั้งหมดมีดังนี้

คัดค้านคนนอกบริหารแพทยสภา 2560

?อยากเชิญสมาชิกสภาวิชาชีพ ทุกสาขาวิชาชีพ ประชาชนทั่วไป และบุคลากรสาธารณสุข ทุกฝ่ายช่วยกันลงชื่อเกิน 10,000 คน เพื่อยื่นคัดค้านกรณีการเสนอกฎหมายแต่งตั้งคนนอกมาบริหารแพทยสภา พ.ศ.2560

สวัสดีครับ ผมหมอกิตติศักดิ์ และทีมงาน

เป็นกลุ่มแพทย์ที่ปฎิบัติงานจริง ทำงานร่วมกับประชาชนและผู้ป่วยอยู่ทุกวันครับ

พวกเราได้ทราบถึงการที่มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งผลักดันการแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม ให้มีการแต่งตั้งคนนอกซึ่งเป็นพวกตนเองเข้ามาบริหารแพทยสภา

ซึ่งการเคลื่อนไหวดังกล่าวจะทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม และเป็นการฉวยประโยชน์จากการนำคนนอกเข้ามาบริหารแพทยสภา องค์กรวิชาชีพ

องค์กรวิชาชีพ ในประเทศไทยนั้น มีหลายองค์กรครับ อาทิเช่น แพทยสภา ทันตแพทยสภา สภาวิชาชีพเภสัชกรรม สภาการพยาบาล สภาเทคนิคการแพทย์ เนติบัณฑิตยสภา สภาทนายความ สภาการบัญชี สภาสถาปนิก สภาวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย กรรมการตุลาการ และ อื่นๆ

ซึ่งโดยหลักการแล้ว กรรมการบริหารต้องเป็นคนในวิชาชีพนั้นๆ จึงจะเข้าใจ จารีต วัฒนธรรม มารยาท จรรยาบรรณของวิชาชีพ

และในทุกสภาวิชาชีพ มักมีการแต่งตั้งอนุกรรมการที่มีอาชีพอื่นๆ มาร่วมได้ รวมทั้งส่วนของภาคประชาชนอยู่แล้ว

การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนดังกล่าวนั้น จึงเป็นการแทรกแซงสภาวิชาชีพ โดยเริ่มต้นจากแพทยสภาซึ่งเป็นสภาที่ถูกบิดเบือนข้อมูลให้เข้าใจผิดได้ง่ายว่า เป็นต้นเหตุปัญหาค่ารักษาพยาบาลแพง ปัญหาการรักษาไม่มีคุณภาพ ต้นเหตุปัญหาสังคม ครีมเถื่อน ต่างๆ

ทั้งที่จริงๆ แล้ว แพทยสภาไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาดังกล่าวเลย เป็นหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขที่ต้องดำเนินการทั้งหมด ค่ารักษาแพง รัฐมนตรีสาธารณสุขก็ตั้งกรรมการแก้ไขแล้ว การจับครีมเถื่อน การรักษาเถื่อน ก็เป็นหน้าที่ของกองประกอบโรคศิลป์ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ไม่เกี่ยวกับแพทยสภา

แพทยสภา โดยพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 มีวัตถุประสงค์และหน้าที่ดังนี้

มาตรา 7 แพทยสภามีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

1. ควบคุมการประพฤติของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมให้ถูกต้องตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม
2. ส่งเสริมการศึกษา การวิจัย และการประกอบวิชาชีพเวชกรรมในทางการแพทย์

3. ส่งเสริมความสามัคคี และผดุงเกียรติของสมาชิก

4. ช่วยเหลือ แนะนำ เผยแพร่ และให้การศึกษาแก่ประชาชน และองค์กรอื่น ในเรื่องที่เกี่ยวกับการแพทย์และการสาธารณสุข

5. ให้คำปรึกษาหรือข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลเกี่ยวกับปัญหาการแพทย์และการสาธารณสุข
6. เป็นตัวแทนของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมในประเทศไทย

มาตรา 8 แพทยสภามีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

1. รับขึ้นทะเบียนและออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ขอเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม

2. พักใช้ใบอนุญาตหรือเพิกถอนใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม

3. รับรองปริญญา ประกาศนียบัตรในสาขาวิชาแพทยศาสตร์ หรือวุฒิบัตรในวิชาชีพเวชกรรมของสถาบันต่าง ๆ

4. รับรองหลักสูตรต่างๆ สำหรับการฝึกอบรมในวิชาชีพเวชกรรมของสถาบันทางการแพทย์

5. รับรองวิทยฐานะของสถาบันทางการแพทย์ที่ทำการฝึกอบรมใน (4)

6. ออกหนังสืออนุมัติหรือวุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบ วิชาชีพเวชกรรมสาขาต่างๆ และออกหนังสือแสดงวุฒิอื่นๆ ในวิชาเวชกรรม

จะเห็นชัดว่า แพทยสภาก็เปรียบเสมือนสถาบันโรงเรียนแพทย์ ที่ดูแลการผลิตแพทย์เฉพาะทาง ควบคุมแนวทาง วิชาการการรักษา การประกอบวิชาชีพ และดูแลจริยธรรมแพทย์ ตัดสินคดีจริยธรรมแพทย์เพียงเท่านั้น

การเสนอให้คนนอกมาเป็นกรรมการบริหารแพทยสภา จึงไม่ได้เกี่ยวข้องกับปัญหาที่พวกเขาอ้างแต่อย่างไร เป็นการตั้งใจบิดเบือนข้อมูลเพื่อเสนอพวกตนเองเป็นกรรมการบริหาร (พวกเขาเป็นอนุกรรมการได้อยู่แล้ว น่าสงสัยทำไมไม่มาเป็น และสร้างเรื่องแก้กฎหมายเช่นนี้)

ผมยังค้นคว้าข้อมูลพบว่า แพทยสภาเคยเชิญคนกลุ่มนี้มาประชุมร่วม เพื่อแสดงความคิดเห็น พิจารณาเรื่องราวต่างๆ คนกลุ่มนี้ก็ปฏิเสธ จึงชัดเจนว่า?พวกเขาไม่ได้มีจุดประสงค์ที่ต้องการปฏิรูปแพทยสภาจริงแต่ต้องการมาเกี่ยวข้องกับการตัดสินคดีจริยธรรมแพทย์

การตัดสินจริยธรรมแพทย์โดยแพทยสภาจะเกี่ยวข้องกับการนำไปสู่การเอาเงินชดเชย หากสืบประวัติคนกลุ่มนี้จะพบว่า พวกเขามีประวัต สนับสนุน พ.ร.บ.กองทุนชดเชยผู้เสียหายทางการแพทย์ด้วย (พ.ร.บ.ใหม่ที่จะให้มีการกันเงินไว้เยียวยาผู้เสียหายทางการแพทย์)

หากคนพิจารณาคดีความแพทย์เป็นพวกเขาเอง เขาก็ชี้มูลความผิดจริยธรรมให้ผิดได้สะดวกขึ้นเวลาส่งฟ้องศาล และสามารถเรียกร้องเงินชดเชยจากกฎหมาย พ.ร.บ.กองทุนชดเชยผู้เสียหาย (ที่เขาร้องให้จัดตั้งมาก่อนหน้านี้ แอบทำเหมือนกับที่ทำในครั้งนี้ และเรื่องรอพิจารณาอยู่ในสภานิติบัญญัติ)

กลุ่มกระผมจึงมีความกังวลกับกฎหมายที่เขาเสนอไปยังประธาน สนช. (สภานิติบัญญัติแห่งชาติ) ว่า หากมีการแก้กฎหมายให้คนนอกเป็นแพทยสภาจริง

1. สถานะแพทย์กับคนไข้จะเปลี่ยนไป จากอดีต แพทย์กับผู้ป่วยเอื้ออาทรต่อกัน เป็นระแวงกันว่า จะถูกกรรมการแพทยสภาคนนอกชี้มูลให้ผิดตามใจหรือไม่?

2. ค่ารักษาพยาบาลทุกภาคส่วนจะสูงขึ้น เนื่องจากแพทย์ต้องปกป้องตัวเองจากกรรมการคนนอก ด้วยการส่งตรวจเพิ่มเติมมากมาย ประชาชนที่ทุกข์ร้อนก็จะรับค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และรอคิวนานขึ้น

รวมทั้ง แพทย์อาจต้องมีค่าใช้จ่ายเพื่อป้องกันตัวเองเพิ่มขึ้น เช่นการทำประกันวิชาชีพป้องกันการฟ้องร้อง ยิ่งขยายให้ปัญหาความสัมพันธ์แพทย์ผู้ป่วยแย่ลง

3.โอกาสที่พวกเขาจะแทรกแซง ตัดสินให้แพทย์ผิดจริยธรรมจะมีเพิ่มมากขึ้น และเขามีโอกาสหาประโยชน์เพิ่มเติมจากการร้องเรียนแพทย์ได้ ดังที่ประวัติทำมาตลอดชีวิต

แพทยสภาเป็นด่านหน้าเท่านั้น หากล้มแพทยสภาได้ คนกลุ่มนี้ย่อมคืบคลานเข้าไปได้ในทุกสภาวิชาชีพ เพื่อเอื้อประโยชน์แก่พวกตนเอง โดยอ้างคำว่า “เพื่อประชาชน” เตรียมแทรกแซงสร้างความปั่นป่วนให้เกิดกับสภาวิชาชีพอื่นๆ เพื่อที่จะได้เข้าไปเอาประโยชน์ได้ง่าย

ดังนั้น โดยหลักการแล้ว

“ผู้บริหารสภาวิชาชีพใด ต้องมาจากผู้ประกอบวิชาชีพนั้นๆ ทั้งสภา ทันตแพทย์ เภสัชกร ทนายความ วิศวกร พยาบาล สถาปนิก บัญชี เทคนิคการแพทย์ แพทย์แผนไทย คนนอกที่ขาดความรู้ความเข้าใจมาบริหาร จะตัดสินใจเรื่องต่างๆผิดเพี้ยนได้”

แต่ก็ต้องเปิดโอกาสให้คนนอกวิชาชีพมาเป็นอนุกรรมการ ดังที่เป็นอยู่เดิมนั้นถูกต้องแล้ว

จึงอยากเชิญชวนอีกครั้งครับ สมาชิกสภาวิชาชีพ ทุกสาขาวิชาชีพ ประชาชนทั่วไป และบุคลากรสาธารณสุข ทุกฝ่าย?ลงชื่อเกิน หมื่นคน ต่อต้านการชุบมือเปิบของ NGOs ของกลุ่มคนที่ไม่มีงานสุจริตทำ แต่คิดจะหาผลประโยชน์ให้ตนเองด้วยการแก้ไขกฎหมาย

จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการร่วมกันลงชื่อ?

ร่วมลงชื่อได้ ที่นี่

 

ที่มา 😕hfocus.org

จี้เลิกผลิตคีโตโคนาโซลชนิดเม็ด พิษร้ายแรงต่อตับ

25566

เครือข่ายวิชาการ แพทย์ เภสัช ผู้ป่วย เตือนภัยคนไทยยาที่มีพิษต่อตับ ทั้งยาพาราเซตามอลที่ใช้จนเคยชิน จนไม่ตระหนักใช้เกินขนาด ซ้ำร้ายยังพบฉลากยาเด็กไม่ชัดเจนสร้างความสับสน ส่งผลอันตรายต่อตับ ขณะที่คีโตโคนาโซลชนิดกินที่มีพิษต่อตับอย่างมาก บริษัทแม่สั่งหยุดจำหน่าย เรียกคืนสินค้า แต่ 89 บริษัทในไทยยังไม่หยุดผลิตแบบเม็ด จี้บริษัทยาเลิกผลิต คีโตโคนาโซลชนิดเม็ด ถอนทะเบียนตำรับยาชื่อสามัญ

สำนักข่าวอิศรารายงานว่า เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2559 ที่ศศนิเวศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) ร่วมกับเครือข่ายนักวิชาการจากคณะเแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ชมรมเภสัชชนบท คณะทำงานสร้างเสริมความเข้มแข็งภาคประชาชนด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล (สยส.) มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และเครือข่ายผู้ป่วยจัดแถลงข่าว??เตือนภัยยาที่มีพิษต่อตับ?

ผศ.ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี?ผู้จัดการศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) กล่าวว่า โรคตับเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่สำคัญของคนไทย ซึ่งหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลให้มีผู้ป่วยตับสูงขึ้น เนื่องมาจากการมีทะเบียบตำรับยาที่ไม่ปลอดภัย เช่นมียาสูตรผสมที่ไม่เหมาะสม ยามีขนาดแรงที่หลากหลายเกินไป ซึ่งพบเห็นได้ในกรณีของยาพาราเซตามอล ทั้งแบบเม็ดและเป็นน้ำที่ใช้กับเด็ก นอกจากนี้ยังพบว่ามีกลุ่มยาอันตรายอย่าง คีโตโคนาโซลชนิดกินที่ใช้ในการรักษาเชื้อราตามผิวหนังด้วย

ผศ.ภญ.นิยดา?กล่าวว่า พาราเซตามอลถือเป็นตัวยาดีที่สุดในปัจจุบัน แต่ที่เราต้องเตือนเพราะปัญหาพิษตับจากยาพาราเซตามอลเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในต่างประเทศเริ่มมีรณรงค์ มีการตื่นตัวเรื่องนี้ ล่าสุด แคนาดา สหรัฐอเมริกา ออกกฎควบคุมการใช้ยาพาราเซตามอลมากขึ้น ขณะที่ไทยมีรายงานเรื่องตับในเด็กมากขึ้น อันเนื่องจากการรับยาเกินขนาดปีละกว่า 1,000 คน โดยในนั้นมีเด็กต่ำกว่า 6 ขวบ

“ส่วนคีโตโคนาโซลชนิดกินมีพิษต่อตับอย่างมาก และบริษัทแม่อย่าง เจนเซน (บริษัท Janssen Cilag ประเทศไทย) ได้ยื่นจดหมายเรียกเก็บสินค้าที่มีส่วนผสมของตัวยานี้คืนทั่วโลกรวมทั้งไทย พร้อมทั้งสั่งหยุดจำหน่าย แต่กลับปรากฏว่ามีบริษัทในไทยอีกราว 89 ที่ยังคงใช้ตัวยาชนิดนี้ในการผลิตแบบเม็ด ทั้งๆ ที่บริษัทต้นแบบเลิกผลิตแต่บริษัทไทยยังละเลย เรื่องล่วงกว่า 3 ปีแล้ว แต่หน่วยงานที่เกี่ยวยังไม่รีบแก้ไข ทั้งๆ ที่มีผลร้ายแรงต่อสุขภาพ”

ผศ.ภญ.นิยดา?กล่าวด้วยว่า ปัญหาใหญ่อีกอย่างคือ ยาฝาแฝด ซึ่งยาพวกนี้มักเป็นพาราเซตามอลสำหรับเด็ก ที่มีรสชาติต่างๆ พ่อแม่หาซื้อง่าย แต่ไม่ค่อยดูขนาดของยา ดูแค่สีของกล่องทั้งๆ ที่ความแรงของยาแม้กล่องสีเดียวกันต่างด้วย เช่นความเข้มข้น 5cc (ช้อนชา) มีความเข้มข้นตั้งแต่ 120 มิลลิกรัม, 160 มิลลิกรัม และ?250 มิลลิกรัม?หมายความว่าถ้าหากคุณซื้อให้ลูกเล็กอายุ 1 ขวบแต่ดันหยิบขนาด 160 หรือ 250 มิลลิกรัมได้ ลูกคุณก็จะได้รับตัวยาที่แรงเกินร่างกาย

ด้าน ภญ.ศิริพร จิตรประสิทธิศิริ?ชมรมเภสัชชนบท กล่าวว่า ปัญหาที่ประชาชนใช้ยาพาราเซตามอลเกินขนาดจนเกิดอันตรายขึ้นนั้น สาเหตุหนึ่งคือความเข้าใจผิดในสูตรยา เนื่องจากปัจจุบันท้องตลาดมียาพาราเซตามอลหลายขนาด มิหนำซ้ำฉลากยังคล้ายกันมาก และพบว่าตัวหนังสือที่เป็นภาษาอังกฤษ ตัวเล็กมาก ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ประชาชนโดยเฉพาะคนในชนบท ไม่สามารถคุ้มครองตัวเองให้ปลอดภัยจากการใช้ยาได้

นอกเหนือจากนั้น ยังพบประเด็นปัญหาของการไม่ทราบว่าในสูตรผสมของยาที่ใช้มีส่วนผสมของพาราเซตามอลด้วย เช่น กรณีได้รับยาคลายกล้ามเนื้อจากการสั่งใช้ของแพทย์แต่ตนเองไม่ทราบ เมื่อมีไข้เพิ่มเข้ามาหรืออาการปวดร่วมอยู่ด้วยจึงกินยาพาราเซตามอลเพิ่มเข้าไป ซึ่งสาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่แก้ไขได้ง่ายโดยการจำกัดขนาดความแรงของยาให้มีน้อย และการทำรูปลักษณ์ของยา รวมทั้งชื่อยาให้แตกต่างกัน

ผศ.นพ.พิสนธิ์ จงตระกูล?คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประธานคณะทำงานสร้างเสริมความเข้มแข็งภาคประชาชนด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล กล่าวว่า พาราเซตามอล (paracetamol) เป็นยาแก้ปวด ลดไข้ ที่ปลอดภัยหากใช้อย่างถูกขนาดและถูกวิธี แต่เนื่องจากมีการใช้เกินขนาด และซ้ำซ้อนมาเป็นเวลานาน จึงเรียกร้องให้หน่วยงานที่รับผิดชอบทั้ง กระทรวงสาธารณสุข คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เร่งจัดการโดยเพิ่มมาตรการส่งเสริมให้ใช้พาราเซตามอลที่มีปริมาณยา 325 มิลลิกรัมทดแทนยาชนิด 500 มิลลิกรัม จำกัดขนาดยาสูงสุดต่อครั้งและต่อวันให้ต่ำลง ปรับปริมาณยาได้ไม่เกิน 325 มิลลิกรัมต่อเม็ดเมื่อเป็นยาผสม แจ้งเตือนด้วยข้อความให้ทราบว่ายาผสมนี้มีพาราเซตามอลเป็นส่วนประกอบด้วยภาษาไทย ยกเลิกยาชนิดหยดสำหรับเด็กทารกที่มีความเข้มข้นสูง แสดงขนาดยาในเด็กที่สอดคล้องกับน้ำหนักตัวแทนของเดิมที่ใช้หลักเกณฑ์อายุ

ด้าน รศ.จันทร์เพ็ญ วิวัฒน์?ประธานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า กรณียาคีโตโคนาโซล ชนิดรับประทานนั้น ขอเรียกร้องให้บริษัทผู้ผลิตในประเทศไทย ถอนทะเบียนตำรับยาชื่อสามัญโดยสมัครใจ ตามแบบอย่างของบริษัทต้นแบบในต่างประเทศซึ่งได้ขอยกเลิกทะเบียนตำรับยาไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้เป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสุขภาพของผู้บริโภคไทย โดยไม่ต้องรอขั้นตอนยกเลิกทะเบียนตำรับยาของคณะกรรมการอาหารและยา.

 

ที่มา 😕hfocus.org

ทีดีอาร์ไอ เสนอ สปสช.ตั้งกองทุนดูแลผู้สูงอายุระยะยาว สมทบคนละ 414 บ./ปี

kpn-n-1

ดร.วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ ที่ปรึกษาด้านหลักประกันทางสังคม สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย?(ทีดีอาร์ไอ)?กล่าวในงานแถลงผลการวิจัยเรื่อง ?พร้อมรับสังคมสูงวัย วางระบบดูแลผู้ป่วยระยะยาว กับทางเลือกระยะสุดท้ายของชีวิต? ซึ่งจัดโดยทีดีอาร์ไอเมื่อวันที่?20?ก.ย.2559?ตอนหนึ่งว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้สูงอายุกว่า?11?ล้านคน และคาดว่าในอีก?20?ปีข้างหน้า จะเพิ่มเป็นกว่า?20?ล้านคน หรือคิดเป็น?30%?ของจำนวนประชากรทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์จำนวนผู้สูงอายุที่ต้องอยู่ติดบ้านหรือนอนติดเตียงในปี?2560?ว่ามีประมาณ 3.7 แสนคน และจะเพิ่มเป็น?8.3?แสนคน ในปี 2580 หรืออีก?20?ปีข้างหน้าเช่นกัน

สำหรับค่าใช้จ่ายการดูแลผู้สูงอายุ อาทิ ค่าจ้างผู้ดูแล ค่าอุปกรณ์ของใช้ที่เกี่ยวกับผู้สูงอายุปี 2560 จะสูงถึง 5.9 หมื่นล้านบาท และภายในปี 2580 จะสูงเกือบ 2 แสนล้านบาท ฉะนั้นมองว่าเรื่องค่าใช้จ่ายเหล่านี้ที่เป็นหน้าที่รัฐบาลในการดูแล สังคม ประชาชน ท้องถิ่นควรช่วยเหลือด้วยในสัดส่วนที่เท่ากัน

ดร.วรวรรณ กล่าวว่า รัฐควรทำหน้าที่สนับสนุนด้านระบบสาธารณสุข รวมถึงควรส่งเจ้าหน้าที่ไปคอยติดตามดูแลอยู่เสมอ ส่วนประชาชนที่มีอายุ 40-65 ปี ควรร่วมกันรับผิดชอบ โดยตั้งกองทุนสมทบเงินดูแลผู้ป่วยระยะยาวขึ้นมา จากนั้นให้ภาคประชาชนที่จะเป็นผู้สูงอายุในอนาคต ส่งเงินเข้ากองทุนปีละ 414 บาท รวมถึงให้ท้องถิ่นสมทบเงินเพิ่มเติมในจำนวนที่เท่ากัน ซึ่งตรงนี้จะเป็นหลักประกันการดูแลผู้สูงอายุ ผู้ป่วยในอนาคตได้ดี

ดร.วรวรรณ กล่าวอีกว่า ขอเสนอให้มีการตั้งคณะกรรมการกำกับและควบคุมคุณภาพสถานบริการดูแลผู้สูงอายุขึ้นมาเป็นกลไกในการตรวจสอบ โดยเลือกผู้แทนจากหลายฝ่าย อาทิ กรมกิจการผู้สูงอายุ กรมอนามัย กรมการขนส่งทางบก องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนผู้ที่ส่งเงินสมทบเข้ามาเป็นคณะกรรมการ เพื่อดูแลตรวจสอบกลไกดังกล่าวให้มีคุณภาพ

ดร.วรวรรณ กล่าวว่า การดูแลผู้สูงอายุถ้าให้รัฐบาลรับผิดชอบทั้งหมด ระบบจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นภาคประชาชนและสังคมต้องเข้ามามีส่วนร่วมที่จะเป็นตัวสนับสนุนทำให้ระบบนี้เกิดขึ้นได้ เบื้องต้นมองว่ามี 2 รูปแบบ คือ ต้องแก้ไขกฎหมายเพื่อให้ระบบนี้อยู่ภายใต้องค์กรเดิมที่มีหน้าที่รับผิดชอบ หรือเสนอกฎหมายให้มีการตั้งหน่วยงานหลักขึ้นมาดูแลเรื่องนี้โดยตรง ซึ่งจะนำเสนอให้ทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)นำไปพิจารณาดำเนินการต่อไป

รศ.พญ.ศรีเวียง ไพโรจน์กุล คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ในฐานะนายกสมาคมบริบาลผู้ป่วยระยะท้าย กล่าวว่า การดูแลผู้สูงอายุในระยะยาว ควรเพิ่มเติมองค์ความรู้ทางด้านนี้ให้แก่โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลจังหวัด และโรงพยาบาลชุมชนให้มีความรู้ ความเข้าใจอย่างละเอียดรอบคอบ เช่น สถานพยาบาลต่างจังหวัดควรมีการติดตามดูแลผู้สูงอายุ ผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ส่วนพื้นที่กรุงเทพฯ ที่มีประชากรหนาแน่น ควรทำให้ผู้ที่ดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน สามารถเชื่อมต่อกับโรงพยาบาลได้อย่างใกล้ชิดเป็นระบบ

นพ.คณพล ภูมิรัตนประพิณ ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์กรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า การดูแลผู้สูงอายุที่บ้านมีความจำเป็นและควรต้องทำให้มีระบบเชื่อมโยงที่ดีได้มาตรฐาน เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้สูงอายุและครอบครัว ซึ่งเชื่อว่าการดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยในปัจจุบัน ควรมีวางระบบให้ดีโดยที่รัฐควรสนับสนุนเรื่องของกฎหมายให้มีมาตรฐาน

ที่ม 😕hfocus.org

รับสมัครนักวิชาการคอมพิวเตอร์

job-banner-com

เรื่อง รับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อจ้างเป็นลูกจ้างชั่วคราว(เหมาบริการ)

ด้วย โรงพยาบาลกรงปินัง ประสงค์รับสมัครคัดเลือกบุคคลเพื่อจ้างเป็นลูกจ้างชั่วคราว(เหมาบริการ) จานวน ๑ อัตรา โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. ตาแหน่งที่รับสมัคร
๑.๑ ตาแหน่งนักวิชาการคอมพิวเตอร์ จานวน ๑ อัตรา
อัตราเงินเดือน เดือนละ ๑๑,๗๖๐.- บาท
2. คุณสมบัติของผู้สมัครสอบคัดเลือก
ผู้สมัครคัดเลือก ต้องมีคุณสมบัติทั่วไป ดังนี้
๒.๑ เพศชาย/เพศหญิง
๒.๒ มีสัญชาติไทย
๒.๓ มีอายุไม่ต่ากว่า ๑๘ ปี บริบูรณ์ (นับถึงวันปิดรับสมัคร)
๒.๔ เป็นผู้เลื่อมใสในการปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยด้วยความบริสุทธิ์ใจ
๒.๕ ไม่เป็นผู้ดารงตาแหน่งกานัน แพทย์ประจาตาบลสารวัตรกานัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน
๒.๖ ไม่เป็นผู้ดารงตาแหน่งข้าราชการการเมือง
๒.๗ ไม่เป็นผู้มีกายทุพพลภาพจนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ไร้ความสามารถหรือจิตฟั่นเฟือน ไม่สมประกอบ หรือเป็นโรคตามที่กาหนดในกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน
๒.๘ ไม่เป็นผู้อยู่ระหว่างถูกสั่งให้พักราชการหรือถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ตามระเบียบ กระทรวงการคลังว่าด้วยลูกจ้างประจาของส่วนราชการ หรือตามกฎหมายอื่น
๒.๙ ไม่เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีจนเป็นที่รังเกียจของสังคม
๒.๑๐ ไม่เป็นกรรมการพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง
๒.๑๑ ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย
๒.๑๒ ไม่เป็นผู้เคยต้องรับโทษจาคุกโดยคาพิพากษาถึงที่สุดให้จาคุกเพราะกระทาความผิดทางอาญา เว้นแต่เป็นโทษสาหรับความผิดที่ได้กระทาโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
๒.๑๓ ไม่เป็นผู้เคยถูกลงโทษให้ออก ปลดออก หรือไล่ออกจากรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงาน
อื่นของรัฐ
/๒.๑๔ ไม่เป็น…
-๒-
๒.๑๔ ไม่เป็นผู้เคยถูกลงโทษให้ออกหรือปลดออกเพราะกระทาผิดวินัยตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยลูกจ้างประจาของส่วนราชการหรือตามกฎหมายอื่น
๒.๑5 ไม่เป็นผู้เคยถูกลงโทษไล่ออกเพราะกระทาผิดวินัยตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วย ลูกจ้างประจาของส่วนราชการหรือตามกฎหมายอื่น
๒.๑๖ ไม่เป็นผู้เคยกระทาการทุจริตในการสอบเข้ารับราชการ
๓. คุณสมบัติเฉพาะตาแหน่ง
3.๑ ตาแหน่งนักวิชาการคอมพิวเตอร์ จานวน ๑ อัตรา
อัตราเงินเดือน เดือนละ ๑๑,๗๖๐.- บาท
มีวุฒิใดวุฒิหนึ่งดังต่อไปนี้
– ได้รับปริญญาตรีหรือคุณวุฒิอย่างอื่นที่เทียบได้ไม่ต่ากว่านี้ ในสาขาวิชาใด สาขาวิชาหนึ่งทางคอมพิวเตอร์
– ได้รับปริญญาโทหรือคุณวุฒิอย่างอื่นที่เทียบได้ไม่ต่ากว่านี้ ในสาขาวิชาใด สาขาวิชาหนึ่งทางคอมพิวเตอร์
๔. วัน เวลา สถานที่รับสมัคร
ให้ผู้ประสงค์จะสมัครคัดเลือก ขอให้ยื่นใบสมัครได้ที่ ฝ่ายบริหารทั่วไป โรงพยาบาลกรงปินัง ในระหว่างวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๙ ในเวลาราชการ ภาคเช้า ตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐ ? ๑๒.๐๐ น. และภาคบ่ายตั้งแต่เวลา ๑๓.๓๐ ? ๑๖.๐๐ น.
๕. เอกสารและหลักฐานที่ต้องนามายื่นในการสมัคร
ผู้สมัครต้องยื่นใบสมัคร เอกสารและหลักฐานพร้อมสาเนาภาพถ่ายเอกสารอย่างละ ๑ ฉบับ ดังนี้
๕.๑ รูปถ่ายหน้าตรงไม่สวมหมวกและแว่นตาดาขนาด ๓ x ๔ ซม. หรือ ๑ นิ้ว
ถ่ายครั้งเดียวไม่เกิน๖ เดือน จานวน ๒ รูป
๕.๒ สาเนาทะเบียนบ้าน และสาเนาบัตรประชาชน จานวน ๑ ฉบับ
๕.๓ สาเนาประกาศนียบัตร และสาเนาใบสุทธิ และสาเนา รบ. จานวน ๑ ฉบับ
๕.๔ สาเนาแสดงว่าผ่านเกณ์์ทหาร ตาม สด.๔๓ และ สด.๘ (เพศชาย) จานวน ๑ฉบับ
๕.๕ ใบรับรองแพทย์ แสดงว่าไม่เป็นโรคต้องห้ามตาม กฎ ก.พ. ฉบับที่ ๓ (พ.ศ.๒๕๓๕) ซึ่งออกให้ไม่เกิน ๑ เดือน จานวน ๑ ฉบับ (ตัวจริง)
๕.๖ ใบสาคัญการเปลี่ยนชื่อตัว ทะเบียนสมรส หลักฐานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี)
๕.๗ นาเอกสารฉบับจริงมาด้วยในวันยื่นใบสมัคร
/หมายเหตุ…
-๓-
หมายเหตุ ๑. ผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือก จะต้องรับรองสาเนาภาพถ่ายเอกสารประกอบการสมัครด้วยตนเอง ?สาเนาถูกต้อง? ทุกฉบับ
๖. การประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบคัดเลือก
จะประกาศให้ทราบภายในวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๙ณ บอร์ดประชาสัมพันธ์ทั่วไปโรงพยาบาลกรงปินัง หรือ www.kpnhospital.com
๗.หลักเกณฑ์การคัดเลือก
การพิจารณาคัดเลือกจะคานึงถึงความรู้ ความสามารถ ความประพฤติ และความเหมาะสม โดยวิธีสอบข้อเขียน สอบปฏิบัติ สอบสัมภาษณ์
๘. เกณฑ์การตัดสิน
ในการตัดสินว่าผู้ใดสอบคัดเลือกได้ ถือเกณ์์คะแนนในแต่ละภาคไม่ต่ากว่าร้อยละ ๖๐

ดาวน์โหลดเอกสาร